หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อุ้ยอ้ายไปซื้อของ เตรียมของใช้ให้ลูกน้อย

 เมื่อเข้าไตรมาสที่สาม ร่างกายก็เปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นและอาการหิวโครกครากพร้อมกับอาการง่วงหงาวหาวนอน ช่วงระยะเวลาสุดท้ายนี้ร่างกายเราต้องการแคลอรีเพิ่มขึ้นอีกและลูกน้อยของเราก็มีการเพิ่มน้ำหนักตัวและเปลี่ยนสัดส่วนร่างกายอีกด้วย แน่นอนว่าอาการทั้งหมดทำให้เรารู้สึกอุ้ยอ้ายในการขยับร่างกายของเรา จึงเป็นความคิดที่ดีที่จะใช้เวลาช่วงต้นไตรมาสที่สามนี้ควง(ว่าที่)คุณพ่อไปซื้อของใช้เพื่อรอรับลูกน้อยที่จะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ต้องยอมรับค่ะว่าผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อนนั้นมีให้เลือกสรร หลากหลายทั้งยี่ห้อ รูปแบบ รูปลักษณ์ คุณภาพและราคา คุณพ่อคุณแม่ก็อาจเกิดอาการสับสนได้ค่ะว่าเราควรเลือกอะไรและแบบไหนดี และหากมีกำลังทรัพย์เหลือพออยู่บ้างจะพอหยิบสอยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรไว้ใช้ได้บ้าง

เพื่อให้เข้าใจง่ายๆนะคะ ก็ขออธิบายว่าของใช้ที่จำเป็นเหล่านั้นก็วนเวียนอยู่ที่ปัจจัยสี่ เพื่อรองรับการกิน นอน ขับถ่ายและนิสัยอยู่ไม่เป็นที่ของมนุษย์อย่างเราๆนั่นเองค่ะ เมื่อใช้หลักการนี้แล้ว ก็เลยแบ่ง shopping list ออกเป็นเจ็ดหมวดดังนี้เลยค่ะ

1. กิน ในช่วงระยะเวลาสามถึงหกเดือนแรกเบบี๋ต้องการแค่นมคุณแม่เท่านั้นค่ะ หลังจากนั้นจึงเพิ่มอาหารเสริมบดแต่เพียงเล็กน้อย ดังนั้นเราต้องเตรียมอุปกรณ์เกี่ยวกับการกินนมเป็นหลักซึ่งได้แก่
หากเลี้ยงด้วยนมแม่เองก็ไม่ต้องการอุปกรณ์มากมายค่ะ เพียงแต่มีขวดนมพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดเผื่อให้ลูกได้ชิมรสน้ำส้ม น้ำเมื่อลูกสามเดือน แต่ถ้าต้องเก็บนมไว้ให้ลูกกินจากขวดเป็นกิจวัตรแล้วก็ต้องการขวดนมมากหน่อยและเพิ่มอุปกรณ์สำหรับใช้เก็บน้ำนม 
ยี่ห้อตามท้องตลาด: 
ขวดนม: AVENT, Pigeon หากเป็นขวดพลาสติกควรเลือกแบบ BPA-free ค่ะ
ที่ปั๊มนม: ควรลองกับเครื่องที่โรงพยาบาลเพื่อทดสอบความหนักเบาก่อนค่ะ ส่วนยี่ห้อที่ได้รับความนิยมจากคนรอบตัวได้แก่ Medela, AVENT, Ameda
ชุดชั้นในให้นม: มียี่ห้อ Wacoal, Sabrina และ Mothercare ที่มีวางขายในบ้านเราค่ะ 

2. นอน 
ข้อดีของการให้ลูกนอนในเตียงของตัวเองคือความปลอดภัยแม้ว่าคุณแม่ต้องยอมสูญเสียความสะดวกเมื่อต้องให้นมเองไปบ้าง หากคิดจะให้เค้านอนในเตียงแยกแล้วควรทำตั้งแต่วันแรกเลยค่ะจะได้ติดเป็นนิสัย การใช้เตียงมือสองก็สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เยอะ แต่ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่าเราได้เปลี่ยนฟูกนอนใหม่ให้เค้าแล้ว วิธีการเลือกเตียงคือควรเลือกเตียงที่มีรั้วปิดทั้งสี่ด้าน ซี่กรงต้องห่างระหว่าง 2.5-6 เซนติเมตร ซี่กรงที่ห่างเกินไปจะทำให้หัวลูกติดค้างได้ และเบาะควรต่ำกว่าขอบราวไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร ส่วนเบาะนอนนั้นต้องวางเต็มที่นอนและมีรูระบายอากาศ เตียงที่กว้างหน่อยก็จะใช้งานได้นานกว่าด้วย ความกว้างของเตียงโดยทั่วไปในท้องตลาดจะอยู่ระหว่าง 60-80 เซนติเมตรค่ะ
แต่ถ้าเลือกที่จะให้นอนรวมกับคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ควรระวังเรื่องการหลับลึกแล้วเผลอทับลูกน้อยด้วยนะคะ ที่กั้นขอบเตียงก็จะช่วยให้ลูกไหลตกพื้นในได้กรณีนี้ มีคุณแม่บางคนที่เคยแนะนำมุ้งครอบ ซึ่งเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งเมื่อลูกนอนกับคุณแม่ค่ะ ประโยชน์ก็เพื่อกันลมและเป็นขอบเขตที่นอนให้แก่ลูกน้อย
ยี่ห้อตามท้องตลาด
Brown Farm, Kitso, Cool Kids, IKEA, Mothercare

3. ขับถ่าย
ลูกต้องพึ่งพาผ้าอ้อมจนอายุสองขวบเลยค่ะ คือจนกว่าเค้าจะสามารถบอกว่าต้องการขับถ่ายเองได้แล้ว โดยทั่วไปแล้วคุณพ่อคุณแม่มีสองทางเลือกได้แก่ ผ้าอ้อมชนิดซักได้ และผ้าอ้อมสำเร็จรูป
ข้อดีของผ้าอ้อมสำเร็จรูปคือสะดวกเวลาออกไปข้างนอกบ้านและใช้งานได้ง่ายกว่า แต่อาจระบายอากาศสู้ผ้าอ้อมชนิดผ้าซักได้ ซึ่งยังมีข้อดีในเรื่องความประหยัดด้วย

4. อาบน้ำ 
สำหรับอ่างอาบน้ำควรเลือกแบบมีที่วางสบู่ในตัวด้วยนะคะเพิ่อความสะดวกในการใช้งาน อ่างอาบน้ำแบบมีขาตั้งมักจะมีราคาสูงแต่ก็ให้ความสะดวกสบาย สำหรับผ้าเช็ดตัวของลูกควรแยกใช้กับผู้ใหญ่
 5. เครื่องนุ่งห่ม
6. ยา อุปกรณ์เบื้องต้นที่ต้องมีติดบ้านได้แก่



7. เดินทาง ถึงแม้ว่าบ้านเรายังไม่ได้บังคับให้ใช้คาร์ซีทตามกฎหมายนะคะ แต่เพื่อความปลอดภัยของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกคาร์ซีทที่มีมาตรฐาน ทั้งนี้เราสามารถอ้างอิงเกณฑ์ปฏิบัติจาก http://www.childcarseats.org.uk/law/index.htm ของสหราชอาณาจักร ซึ่งกำหนดให้เด็กต้องใช้คาร์ซีทถึงอายุ 12 ปี หรือเมื่อส่วนสูงต่ำกว่า 135 เซนติเมตร หรืออาจอิงจากระเบียบปฏิบัติของประเทศอื่นที่มีการบังคับใช้กฎหมายก็ได้ค่ะ
ยี่ห้อทั่วไปตามท้องตลาด Combi, Graco, Cool Kids
1. หากเลือกที่จะซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น one-stop service คือมีของที่ต้องการครบทุกอย่างแล้ว อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชั่นของห้างเช่น บัตรกำนัล ส่วนลด 15-70% ส่วนลดพิเศษจากบัตรเครดิตก่อน
2. ของราคาย่อมเยาสามารถแวะเวียนไปดูได้ที่ตามตลาดนัด เช่น ตลาดนัดลุงเพิ่มหลังการบินไทย ตลาดนัดมศว. ตลาดนัดต้นสน
3. ช่วงปลายเดือนมิถุนายน สินค้า street fashion เช่น GAP Kids มีสินค้าลดราคา50-70% (mid year sale)
4. ของใช้ในเครือสหพัฒน์เช่น enfant little wacoal absorba หรือชุดชั้นในให้นมของ wacoal ยังมีจำหน่ายในราคาลดพิเศษ 15-30% ที่ร้าน mother&child เซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนงานสหพัฒน์ แฟร์จะเริ่มราวปลายมิถุนายนที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์
5. ควรตรวจสอบโปรโมชันเฟอร์นิเจอร์ของแต่ละร้าน/ สาขาก่อน เช่น Kitso จะลดราคาพิเศษช่วงส่งท้ายปี Brown Farm จะมีโปรโมชันประจำเดือน ติดตามได้ที่ website หรือ facebook ของแต่ละร้าน
6. แหล่งซื้อของอื่นๆ เช่น งาน Thailand Baby& Kids Best Buy
7. ในต่างประเทศ สินค้าเด็กเช่น car seat, รถเข็น หรือขวดนม ที่ปั๊มนม นั้นมีราคาถูกกว่าที่ไทยมาก
8. ผ้าอ้อมยี่ห้อ enfant รุ่น gold มีขนาดพิเศษ 30" ด้วยและเนื้อก็นุ่มถูกใจมากๆ

เพื่อให้เรื่องซื้อของเป็นหนึ่งในกิจกรรมแห่งความสุขที่เราจะทำเพื่อลูกน้อยของเรา สุดสัปดาห์นี้ ก็อย่าลืมพก shopping list สรุปติดไม้ติดมือกันไป แล้วหลบลมร้อนไปเดินชิลล์ๆชอปปิ้งของใช้ให้ลูกน้อยกันนะคะ

ลายแทง Shopping List ของเรา
หากคุณแม่มือใหม่หรือมือเก๋ามีข้อแนะนำหรือเทคนิคเริ่ดๆ ก็อย่าลืมช่วยกันแชร์ค่ะ เรารออยู่่....

Reference:
คู่มือคุณแม่ฉบับสมบูรณ์ ห่วงใยคุณแม่ดูแลลูกน้อย

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จาก..ปฏิสนธิ..ถึง...กำเนิดชีวิต

เพราะคำพูดที่ว่า "แม้ว่าผมจะเป็นนักคณิตศาสตร์ ผมก็ยังมองการพัฒนาการของตัวอ่อนด้วยความอัศจรรย์ การสร้างตัวตนอันไร้ซึ่งข้อผิดพลาดนั้นเป็นไปได้อย่างไร" ของ Alexander Tsiaras ในการบรรยายซึ่งเผยแพร่ที่เว็บไซต์ BBC ทำให้เราได้"เห็น"ความมหัศจรรย์ของการกำเนิดชีวิตผ่านทางวิดีโอความยาวไม่กี่นาทีแต่ก็อิ่มด้วยข้อความที่ผู้จัดทำต้องการสื่อสาร ตามประวัติโดยย่อของคุณ Tsiaras นั้น แกมีความสนใจเรื่องเทคโนโลยีการถ่ายภาพทางการแพทย์ เขาเป็นนักคณิตศาสตร์ รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยลล์ และร่วมทำงานโครงการให้แก่องค์การนาซ่าของสหรัฐ

เมื่อได้ดูวิดีโอแล้ว เราก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับทรรศนะข้างต้นของเขาไม่มากก็น้อย การกำเนิดชีวิตที่เริ่มต้นจากการรวมตัวกันของสองเซลล์ การแบ่งเซลล์ การพัฒนาอวัยวะทั้งหัวใจ แขน ขา ตาของตัวอ่อนในชั่วระยะเวลาต่างๆในครรภ์มารดา ทั้งหมดนี้เป็นไฮไลท์จากผลงานของเขาในหนังสือชื่อ "From Conception to Birth: A Life Unfolds and The Architecture and Design of Man and Woman: The Marvel of the Human Body, Revealed" ซึ่งจัดทำขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยี MIH ที่ช่วยให้เราสามารถมองเห็นภาพซึ่งไขความลับแห่งชีวิตได้

นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถเข้าไปศึกษาสาระทางสุขภาพทางเว็บไซต์ theVisualMD.com ในรูปแบบของรูปภาพตามความถนัดของเขาได้อีกด้วย เช่นในหัวเรื่องที่ 8 ซึ่งเกี่ยวกับโภชนาการสำหรับลูกน้อยในครรภ์ค่ะ แล้วคุณจะพบว่า

"ชีวิตนั้นช่างสวยงามและมหัศจรรย์แค่ไหน"

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้ำหนักขึ้น ไม่ขาดไม่เกิน

สืบเนื่องจากบทความที่แล้วเรื่อง "น้ำหนักขึ้น up&up" ก็มีเสียงดังขรมจากคุณแม่ที่กำลังกังวลว่าถ้าเราไม่กินเต็มสตรีมแล้ว ลูกน้อยในครรภ์จะมีพัฒนาการด้านร่างกายที่สมบูรณ์หรือ มาถึงตรงนี้ผู้เขียนก็ขอให้ย้อนกลับไปตั้งต้นด้วยบทความที่ผ่านๆมาดังนี้ค่ะ

เรื่อง "น้ำหนักขึ้น up&up" ได้แนะนำว่าเราควรกินเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้นต่อวัน
เรื่อง "Eat for 2" ได้กล่าวถึงคำแนะนำเกี่ยวกับสัดส่วนอาหารในแต่ละวัน และปริมาณที่เหมาะสม

ที่นี้ถ้าเราปฏิบัติตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็มั่นใจได้เลยว่าปริมาณอาหารและสัดส่วนอาหารที่กินเข้าไปนั้นมีความเหมาะสมทั้งต่อลูกน้อยและสุขภาพของคุณแม่เอง

ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งเพื่อจะบ่งชี้ว่าการปฏิบัติของเรานั้นมีประสิทธิผลหรือไม่ ก็คือดัชนีชี้วัดนั่นเอง สำหรับพัฒนาการด้านร่างกายของเจ้าตัวเล็กนั้นก็ขอละให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอในการวัดการเจริญเติบโตด้านร่างกายจากการอัลตราซาวด์ในทุกๆไตรมาส ส่วนคุณแม่นั้นสามารถเฝ้าระวังน้ำหนักตัวเองเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่เหมาะสมเมื่อสิ้นสุดการตั้งครรภ์ สำหรับหญิงที่มีดัชนีมวลกายหรือ Body Mass Index (BMI) ในเกณฑ์ปกติจะต้องเพิ่มน้ำหนักประมาณ 11-14.5 kg. ส่วนคนที่มีค่าต่ำกว่ามาตรฐานก็ควรเพิ่มน้ำหนักถึง 12.5-18 kg แต่หากคุณมีส่วนเกินพ่วงมาด้วยแล้วก็ต้องเฝ้าระวังให้มากกว่าปกติโดยที่น้ำหนักควรเพิ่มแค่ประมาณ 7-11 kg เท่านั้นเองค่ะ เราสามารถคำนวณ BMI เองได้เพื่อจะได้ทราบว่าเราควรมีเป้าหมายเท่าไรดังนี้

 และเพื่อให้สามารถเฝ้าระวังได้อย่างเป็นระบบ เราก็เลยจัดทำworksheetง่ายๆเพื่อเก็บข้อมูลและทบทวนผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่สามารถแปะไฟล์บนบล็อกได้ ผู้ที่สนใจสามารถ e-mail มาขอกันหลังไมค์ได้เลยค่ะ


ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ร่วมทางทุกคนและวินัยที่ดีจะช่วยให้เราเข้าถึงเป้าหมายนั้นได้ แม้ว่าจะเผลอบ้างอะไรบ้างกับของไม่มีประโยชน์แต่อร่อยๆทั้งหลาย และสุดท้ายขอฝากข้อคิดดีๆที่เก็บมาจาก www.whattoexpect.com ที่ว่า......

เราไม่ได้อ้วน แต่เรากำลังเลี้ยงเจ้าตัวเล็กให้โตวันโตคืนอยู่ต่างหาก

Reference:
The day-by-day pregnancy book, Dr. Maggoe Blott
http://en.wikipedia.org/wiki/Body_mass_index



วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

น้ำหนักขึ้น up&up

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาน้ำหนักตัวได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ประมาณสามกิโลกรัมเห็นจะได้ ทั้งๆที่รู้มาก่อนแล้วว่าช่วงไตรมาสที่สองและสามน้ำหนักจะขึ้นไปเรื่อยๆ การตรวจครรภ์ครั้งที่ผ่านมาคุณหมอก็ได้แนะนำให้งดของอร่อยทั้งหลาย ทั้งข้าวเหนียวมะม่วง ไอศกรีม ช็อกโกแล็ต เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อภาวะเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ โดยการตรวจครรภ์เดือนหน้าซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่สามสิบ เราต้องทดสอบภาวะเบาหวานอีกด้วย

ระหว่างนี้ ก็ได้บังเอิญไปเจอะกับบทความที่น่าสนใจจากนักจิตวิทยาและนักเขียนซึ่งได้เขียนบทความลง BBC Online เมื่อ 26 มิถุนายน 2555 โดยตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่าหญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องกินเผื่อสองคนหรือไม่ แล้วคนตั้งครรภ์แฝด ยิ่งแฝดสามแฝดสี่ยิ่งไม่ต้องกินเพิ่มเป็นเงาตามตัวหรือ ซึ่งฝรั่งเองก็มีความเชื่อเฉกเช่นพวกเราว่า การตั้งครรภ์เป็นความชอบธรรมของว่าที่คุณแม่อย่างหนึ่ง ที่จะสามารถกินอะไรก็ได้และมากเท่าไรก็ได้ตามปากปรารถนา ซึ่งผลลัพธ์ของความเชื่อที่ไม่ถูกต้องก็ได้สะท้อนด้วยผลงานวิจัยที่ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แห่งสหราชอาณาจักร (British Medical Journal) ที่ระบุว่า 20-40% ของผู้หญิงมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานในระหว่างตั้งครรภ์ และสถิติดังกล่าวก็อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาหารที่กินมากเกินไปไม่ได้เป็นประโยชน์กับคุณแม่หรือลูกน้อย แต่กลับส่งผลเสียต่อคุณแม่ในระยะยาวเช่นความดันเลือดที่สูงขึ้นแล้วยังทำให้ไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้หลังระยะเวลาให้นมบุตรสิ้นสุดลง

และบทความก็นำมาสู่คำถามที่น่าสนใจว่าแล้วหญิงตั้งครรภ์ควรเพิ่มอาหารต่อวันสักเท่าไร ตามคำแนะนำของ Institute of Medicine ในสหรัฐ หญิงตั้งครรภ์ต้องการพลังงานเพิ่มอีกแค่ 340 แคลอรีหรือเทียบเท่ากับไข่สองฟองในช่วงไตรมาสที่สอง และเพิ่ม 452 แคลอรีหรือเทียบเท่ากับคุ้กกี้ธัญพืชช้อกโกแล้ตสองชิ้นและขนมปังกระเทียมอีกเล็กน้อยเท่านั้นในระหว่างไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์

สรุปง่ายๆก็คือเราควรกินเท่าคนคนเดียวและเพิ่มอีกเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หนังสือน่าอ่าน พัฒนาการของทารกในครรภ์ 1

ทุกวันที่ผ่านไปมีค่าต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย เพราะเวลาเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ในชีวิตจริงไม่มีไทม์แมชชีนของเจ้าเหมียวโดราเอมอนที่สามารถพาเรากลับไปแก้เหตุการณ์ต่างๆได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำทุกวันให้มีคุณค่าที่สุด
โชคดีมากๆค่ะที่ได้รับการส่งต่อหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการของลูกมาเยอะแยะมากมาย ทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจโลกของเค้าในร่างกายของเรามากขึ้น คุณหมอชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ผู้แต่งหนังสือ ลูกฉลาดได้ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ได้เน้นย้ำถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเค้า การปฏิบัติที่ถูกต้องจะส่งผลให้ทารกน้อยมีคุณภาพ แต่หากละเลยแล้วก็อาจสร้างภาระและความเครียดแก่ลูกน้อยแทน


หนังสือน่าอ่านเล่มแรกที่อยากแนะนำให้คุณแม่คุณพ่อหามาอ่านก็คือ ลูกฉลาดได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยคุณหมอชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์รักลูก เป็นหนังสือเล่มบางๆอ่านเข้าใจง่าย ได้เกร็ดความรู้มากมายและมุ่งไปที่การตั้งครรภ์อย่างมีความสุขและมีคุณภาพ คุณหมอได้แนะนำข้อควรปฏิบัติไว้อย่างน่าสนใจ โดยขอยกมาบางส่วนที่สำคัญดังนี้
  • ภายในครรภ์ ลูกน้อยจะคุ้นชินกับเสียงโลหิตไหลเวียน เสียงเต้นหัวใจ และเสียงของคุณแม่ ดังนั้นลูกน้อยจำเป็นต้องปรับตัวเป็นอย่างมากเมื่อคลอดออกมาสู่โลกภายนอกซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การอุ้มลูกที่บ่าด้านซ้ายและการร้องเพลงหรือเล่านิทานให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะช่วยให้ลูกอารมณ์ดีและอบอุ่น คุณหมอยังแนะนำเทคนิคให้ลูกฟังดนตรีตั้งแต่ในครรภ์ไว้อย่างน่าสนใจว่าควรเลือกเพลงที่เย็นสบายและฟังพร้อมกันทั้งคุณแม่และลูกประมาณ15นาที ไม่ใช่เปิดเพลงทิ้งไว้ทั้งวันนะคะ ไม่เช่นนั้นเค้าจะเครียดเกินไปค่ะ
  • คุณแม่คือสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดของลูกค่ะ เราจึงควรมองโลกอย่างสดใส กำลังใจจากคุณพ่อมีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน
  • คุณแม่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการของลูกด้านการเคลื่อนไหวได้โดยลูบสัมผัสหน้าท้องเมื่อลูกมีการดิ้นแตะหน้าท้องคุณแม่
นอกจากคำแนะนำข้างต้นแล้วเรายังสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคลอดและการเสริมสร้างระบบต่างๆของทารกหลังคลอดได้จากหนังสือเล่มนี้ด้วยค่ะ ด้วยทัศนคติด้านบวกที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้ รับรองว่าคุณแม่จะอิ่มใจกับการตั้งครรภ์แน่นอนจ้า

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปฏิทินคุณแม่ตั้งครรภ์


เผลอแป๊บเดียวตัวเราเองก็มาถึงครึ่งทางของการตั้งครรภ์แล้วค่ะ เป็นช่วงเวลาที่เรามีเวลาและพลังเหลือเพื่อจัดการกับธุระของตัวเอง เริ่มเตรียมพร้อมร่างกายและเริ่มมองของจำเป็นสำหรับลูกน้อยที่จะมาเยือนในเวลาอันใกล้นี้ เมื่อมีเวลาสักหน่อยเลยขอskim&scan หนังสือคู่มือการตั้งครรภ์เล่มโตเพื่อทำshort note เตือนความจำที่คุณหมอเรียกว่า pregnancy brain ก็คือหลงๆลืมๆของตนสักหน่อย และเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาเราก็ได้เพิ่มกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ซึ่งตัวเราเองได้ทำและมุ่งมั่นว่าจะทำลงไปด้วย สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็เลยได้มาเป็นปฏิทินฉบับพกพาเช่นนี้ค่ะ 

updated: พฤษภาคม 2555
อ้างอิงจาก: the day-by-day pregnancy book, Dr.Maggie Blott
หมายเหตุ: คุณแม่สามารถอัพเดตตาราง "ปฏิทินคุณแม่ตั้งครรภ์" ล่าสุดได้จากหน้านี้ค่ะ ^^

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Eat for 2 กินจุ๊บจิ๊บ

สาวๆคะ อย่าเพิ่งร้องยี้นะคะ ถ้าอยู่ตัวคนเดียวก็ร้องออกมาได้เลยค่ะ แต่ๆๆๆ...ในฐานะว่าที่คุณแม่หน้าที่ของเราคือต้องเพิ่มน้ำหนักให้ได้ตามเกณฑ์ด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ถึงจะมีแถมพวกของโปรดอย่างเช่นเบเกอร์รี่หรือไอศกรีมบ้างสำหรับวันอากาศดีๆก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอากาศมันเกิดดีทุกวันก็พยายามข่มใจด้วยคาถาว่า..เบาหวานๆนะจ๊ะ

ถึงท้องจะเริ่มยื่นออกมาทุกวัน ก็ไม่ได้แปลว่ากระเพาะอาหารของเรามันขยายไปด้วยแถมยังมีเจ้าตัวเล็กมากดทับซะอีก ทำให้เราจุอาหารในแต่ละมื้อได้ไม่มากไม่น้อยไปกว่าเดิมเลย ดังนั้นถ้ากินแค่สามมื้อต่อวันเจ้าตัวเล็กคงต้องหิวโซแน่ๆ กลุ่มอาหารที่มักขาดหายไปจากมื้อหลักก็คงหนีไม่พ้นพวกผลไม้และนม เราจึงขอยกยอดคงค้างทั้งหมดไปเป็นอาหารระหว่างมื้อค่ะคือช่วง 10.30 น. ในช่วงเช้าและช่วงพักบ่ายประมาณ 15.00 น. ของแต่ละวัน

และเช่นเคย วันนี้เราได้เตรียมสำรับง่ายๆระหว่างมื้อมาแนะนำ 

ขอเปิดตัวด้วยออเดิร์ฟเซ็ตเมนูที่ง่ายแต่ยังคงเปี่ยมไปด้วยคุณค่า ก็คือ ผลไม้สดกับถั่ว พร้อมโยเกิร์ตไขมันต่ำ 
วิธีจัดการกับเมนูนี้ก็แล้วแต่ความถนัดเลยค่ะ จะกินแบบตัวใครตัวมันหรือจะเทรวมกันเป็นโยเกิร์ตผลไม้ก็อร่อยดีไปอีกแบบ แต่อย่าลืมหั่นเป็นเต๋าก่อนผสมรวมกันนะคะ และเพื่อได้วิตามินที่หลากหลายจากผลไม้ เราควรเลือกผลไม้หลายชนิด หลายสีในแต่ละสำรับค่ะ


เมล็ดทานตะวันและสาลี่สดสำหรับเบรคเช้า^^
ยามบ่ายสดชื่นด้วยโยเกิร์ตพรุนและผลไม้สด


แล้วติดตามเมนูระหว่างมื้ออื่นๆได้ในตอนต่อไปนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Eat for 2 กินแบบบุฟเฟต์ (พร้อมเมนูข้าวอบปลาทูไข่เค็ม)

เทคนิคการกินสำหรับคุณแม่: กินแบบบุฟเฟต์

ในตอนที่แล้ว เราเกริ่นถึงสารอาหารที่มีคุณค่าในกลุ่มต่างๆที่คุณแม่จำต้องได้รับอย่างครบถ้วน ในตอนนี้เราจะแนะนำเทคนิคแรกเพื่อมุ่งไปสู่คุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนเหล่านั้น นั่นก็คือ...การกินอย่างบุฟฟเฟต์ นี่ไม่ใช่การชวนเพื่อนคุณแม่เดินตบเท้าเรียงหนึ่งต่อคิวร้านชาบูชิกันหรอกนะคะ หรือใครจะไปก็ไม่ผิดพลาดแต่ประการใดแต่เกรงว่าไอ้ที่เกินๆมาน่ะจะฝังอยู่ในร่างของคุณแม่เองซะหมด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะคะ แต่ที่ต้องตั้งชื่อกันอย่างนี้คือการหยิบเล็กผสมน้อยจากเครื่องปรุงส่วนผสมต่างๆที่ติดอยู่ในตู้เย็นเพื่อนำมาแปลงร่างเป็นอาหารจานเดียวขนาดกำลังดี รสชาติกำลังโดน แถมไม่มีกลิ่นติดมาให้รำคาญใจอีกต่างหากค่ะ ถ้ายังนึกไม่ออกลองนึกถึงอาหารเช้าอันแสนอร่อยตามรีสอร์ทราคาแพงที่จัดเรียงอาหารอย่างตระการตาไว้หลากหลายมุม ทั้งข้าวต้ม กับข้าวต่างๆ ขนมปัง ไข่หลากหลายรูปแบบ โยเกิร์ต น้ำผลไม้ ผลไม้สด สลัดผักและ.......อีกยาวเป็นหางว่าว เราก็จะชิมนี่นิดชิมโน่นหน่อยกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็อิ่มพอดิบพอดี แถมที่กินเข้าไปก็มีทั้งปลา ไก่ ไข่ นม เนย ข้าว ผัก และปิดท้ายด้วยผลไม้ ในทำนองเดียวกัน หากเรารู้จักเลือกหยิบส่วนผสมนี่นิดอันนู้นหน่อยสำหรับปรุงอาหารในแต่ละมื้อ เราก็จะได้สารอาหารที่หลากหลายค่ะ

วันนี้ฝนตกหนักแต่หัววันเลยจ้ะลูกน้อย เข้าหน้าฝนแล้วนะ อากาศเย็นๆแบบนี้คุณแม่ขอขลุกอยู่ในครัวล่ะกันจ้ะ และเพื่อให้เข้าคอนเซ็ปต์ กินแบบบุฟเฟต์ ก็เลยขอฝากเมนูข้าวอบปลาทูไข่เค็ม ไว้ในอ้อมใจของคุณแม่ด้วยนะคะ รับประกันความอร่อย ไม่มีกลิ่นติดครัว และยังง่ายมากๆเลยค่ะด้วยหม้อหุงข้าวอัตโนมัติ


ส่วนผสมข้าวอบ
ข้าวสาร
แครอทหั่นเต๋า
เม็ดบัว แปะก๊วย ถั่วลันเตาและข้าวโพดสุก
กุ้งแห้งแช่น้ำแล้ว
ขิงหั่นเป็นแว่น
ไข่เค็มไชยาหั่นเต๋า
น้ำสต็อกปลา (ถ้ามี)
และพระเอกของจานนี้....ปลาทู

ส่วนผสมน้ำจิ้ม
ขิงซอย
รากผักชีสับ
ซีอิ๊วขาว
น้ำตาลโตนด
น้ำมะนาว
น้ำสต็อกปลา (ถ้ามี)

เพิ่มคุณค่าด้วย ปลาข้าวสารและงาขาวคั่ว

วิธีการทำ
1. เริ่มจากจัดการกับเจ้าปลาทูกันก่อน เมื่อทำความสะอาดแล้ว ก็แล่เนื้อออกมาให้เหลือแต่ก้างไว้
2. นำปลาทูสดเรียงบนถาด เอาเข้าเตาอบ โรยเกลือนิดหน่อย คลุมด้วยฟอยล์ (เพื่อไม่มีกลิ่นรบกวน) อบจนแค่พอดีสุก
3. นำก้างปลาทูที่เหลือมาทำน้ำสต็อก โดยใส่ปลาทู ใบไทม์ เกลือและผักที่มีติดตู้เย็นเช่นแครอท ลงไปในน้ำธรรมดาแล้วตั้งไฟจนพอเดือด ลดไฟแล้วเคี่ยวต่ออีกครึ่งชั่วโมง
4. กรองส่วนผสมในข้อ 3 ด้วยตะแกรงลงไปในภาชนะที่วางอยู่ในถังน้ำแข็ง เพื่อลดอุณหภูมิน้ำสต็อกอย่างรวดเร็ว
5. ผสม ข้าวสาร แครอทหั่นเต๋า ขิงแว่นและกุ้งแห้งลงไปในหม้อ เติมน้ำสต็อกส่วนหนึ่งจากข้อ 4 และน้ำเปล่าลงไปในหม้อหุงข้าวอัตโนมัติ
6. ใส่ไข่เค็ม ปลาทูที่ทาด้วยซีอิ๊วดำเล็กน้อยและนำธัญญพืช (เม็ดบัว แปะก๊วย ถั่วลันเตา ข้าวโพด) สุกลงไปในหม้อหุงข้าว เมื่อน้ำในหม้อหุงข้าวเดือดแล้ว
7. สำหรับน้ำจิ้ม ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างให้เข้ากัน ถ้าตำได้ก้จะยิ่งดีค่ะ คนที่ชอบเผ็ดๆก็เติมพริกลงไปได้นะจ๊ะ

เสิร์ฟ.....ตักข้าวอบใส่จานที่เรียงด้วยผักสลัด โรยข้าวอบด้วยปลาข้าวสารแห้งและงาขาวเพื่อเพิ่มแคลเซียม แล้วจัดคู่กับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวค่ะ








วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Eat for 2

กินอะไรและมากเท่าไหร่?


โดยปกติแล้วพวกเราก็คงกินให้พออิ่มมีพลังงานทำกิจกรรมระหว่างวันได้ โดยไม่เคยจะมานั่งตั้งคำถาม ใช้หมองนั่งสมาธิพิจารณาว่าสิ่งที่เรากินเข้าไปนั้นมันครบถ้วนหรือเปล่าใช่มั้ยคะ ถ้าใครว่ากินอะไรดีก็แห่กินตามๆกัน แต่ในเมื่อมีอีกชีวิตเล็กๆที่ฝากไว้กับเราแล้ว คุณแม่ก็จะมีแรงฮึดขึ้นมาใส่แว่นตาหนาเตอะตรงดิ่งไปหาตำราที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญทันทีว่าแท้ที่จริงแล้ว คุณแม่ควรบริโภคอย่างไรในการตั้งครรภ์เพื่อสุขภาพของลูกน้อยและของคุณแม่เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ไตรมาสที่สองเป็นต้นไปซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกน้อยต้องการอาหารจากเรา

ในที่นี้ขออ้างอิงจากหนังสือที่ชื่อว่า The day-by-day Pregnancy Book ที่เขียนโดย Dr Maggie Blott แห่ง University College Hospital ในกรุงลอนดอนโน้นนนน เมื่ออ่านงงไปงงมาแล้วก็สามารถสรุปได้ดังนี้ค่ะ


อาหารที่เราควรจะกินให้ครบในแต่ละวันนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 6 หมวดได้ดังนี้คือ

  • คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ขนมปัง ข้าวสวย ซีเรียล พาสต้า ก๋วยเตี๋ยว เพียงเรากินให้ได้เท่ากับขนมปัง 4-6 แผ่นก็เพียงพอแล้ว
  • โปรตีน ได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ และรวมไปถึงถั่วต่างๆ เราควรกินให้ได้ถึง 60 กรัมต่อวัน นอกจากนี้ปลาเช่น แซลมอน ปลาทู แองโชวี่ หรือถั่วจำพวกวลนัท และน้ำมันคาโนล่า ยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาระบบประสาท
  •  ผลิตภัณฑ์นม รวมถึงชีสและโยเกิร์ต ควรกินรวมกันต่อวันให้ได้เท่ากับนม 3 แก้วค่ะ
  • เหล็ก พบในไข่และผักใบเขียว
  • ผัก  ควรกินให้ได้ 3-4 เสิร์ฟต่อวัน 
  • ผลไม้สด ควรกินให้ได้ 4-5 เสิร์ฟต่อวัน  
เห็นอย่างนี้แล้ว เราก็คงได้แต่ถอนใจเฮือกๆ ว่าจะทำอย่างไหรหนอเพื่อให้ครบตามคำแนะนำหรือควรปล่อยให้คำแนะนำนั้นให้อยู่ที่เดิมของมันต่อไป หึๆๆ อย่าเพิ่งท้อค่ะ! เราจะช่วยคุณเองเพื่อให้ได้ทั้งประโยชน์และรสชาติที่เย้ายวน ด้วยเทคนิคที่ภูมิใจจะนำเสนอในตอนต่อไปค่ะ 

ติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กิน..ไข่ ตอนที่ 3 (scrambled egg)

โภชนาการคุณแม่  
กิน..ไข่ Scrambled Egg



อากาศมันร้อนนักใช่มั้ยคะคุณแม่ เรามาเพิ่มความสดใหม่ให้ชีวิตด้วยอาหารเช้าแบบเย็นๆกันค่ะ ที่มาแนะนำกันนี่ไม่ใช่ข้าวแช่หรอกนะคะ แต่เป็น whole grain ที่กินคู่กับนมสดออร์แกนิกส์เย็น หอม และมันซึ่งส่งตรงจากเต้าแม่โคที่เขตราบสูงโคราชนู่น ยังไม่ลืมใช่มั้ยคะว่าตามสูตรการกินอาหารเช้าของเรานั้นต้องซ่อนไข่เอาไว้ด้วย ตอนก่อนๆ มีทั้งตุ๋นทั้งโพชแล้ว เช้านี้ก็เลยขอทำอะไรที่แปลกใหม่ดูบ้างตาม concept "เพิ่มความสดใหม่ให้ชีวิต" แต่น....แต๊น...ขอเปิดตัว scrambled egg เลยค่ะ

scrambled egg หรือที่เรารู้จักในชื่อว่า ไข่คน มันคือไข่คนจริงๆค่ะ แล้วก็กินได้จริงๆด้วย แฮ่มแฮ่ม เพราะว่ามันคือการเอาไข่ไก่ไปคนๆในกระทะนั่นเอง ใจหายหมดเลย ว่าแล้วเราก็ไปดูวิธีการทำกัน

ส่วนประกอบ
ไข่ไก่ออร์แกนิกส์ 1-2 ฟอง
เนยจืด เล็กน้อย
เครื่องปรุงรส พริกไทยดำ ซอสมะเขือเทศ

วิธีการทำ
1. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ตอกไข่พร้อมใส่เนยลงไป   
2. ใช้พายลงไปคนๆให้เนื้อเนียนเข้ากัน เพื่อความเนียนอย่าให้ไฟแรงนักนะคะเพราะจะสุกเร็วไป เราอาจยกออกจากเตาออกมาคนเป็นระยะๆได้ จนกระทั่งสุกค่ะ

เสิร์ฟ... โรยด้วยพริกไทยดำ จิ้มเพิ่มรสชาติด้วยซอสมะเขือเทศเพื่อเพิ่มไลโคปีนสักนิด 








วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ออกกำลังกาย ขาดไม่ได้ (ตอนที่ 1 เดินลัลล้า)

ตอนที่ 1 เดินลัลล้า

เพิ่มอ็อกซิเจนที่สวนรถไฟ
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคุณแม่นะคะ ในช่วงไตรมาสแรกที่ยังมีอาการแพ้ท้องอยู่นั้น การเดินเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ไม่หนักจนเกินไป มีประโยชน์ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตและจิตใจเบิกบาน แต่อย่าลืมที่จะหยุดพักเมื่อรู้สึกเริ่มเหนื่อยและดื่มน้ำให้เพียงพอ

ตั้งแต่ตั้งครรภ์ คุณแม่อย่างเรารู้สึกดีกับสถานที่เปิดโล่งเป็นพิเศษ ทั้งยิมหรือห้างสรรพสินค้านี่แทบหันหลังให้เลยค่ะ จะออกกำลังกายทั้งที เลยขอคว้าหมวกใบเก่งและมุ่งตรงไปยังสวนสาธารณะดีกว่า ได้อากาศบริสุทธิ์แบบฟรีๆจากต้นไม้เขียวๆ รับแดดอ่อนๆ และแอบดูครอบครัวเค้าเล่นมีความสุขกัน 


เดินกำหนดสติข้างสวนโมกข์กรุงเทพ

หากคุณแม่ได้มาที่สวนรถไฟ อย่าลืมแวะไปเที่ยวสวนโมกข์กรุงเทพด้วยนะ ห้องสมุดที่นี่มีหนังสือเยอะแยะมากมายที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก และหนังสือนิทานธรรมะให้เลือกสรรอีกด้วย ซึ่งจะนำมารีวิวให้คุณแม่ๆในโอกาสอันใกล้จ้า



Keep Walking, Keep Exercising!


กิน..ไข่ ตอนที่ 2 (ไข่ตุ๋น)


โภชนาการคุณแม่  
กิน..ไข่ ไข่ตุ๋น


สืบเนื่องจากตอนที่แล้วที่ว่าด้วยเรื่องของไข่ ไข่และไข่ และเราได้รู้จักกับ poached egg ไปแล้วว่าสามารถปรุงได้ง่ายมากๆด้วยหม้อแค่เพียงหนึ่งใบเท่านั้น ในตอนนี้เราก็ยังคง concept เดิมเกี่ยวกับไข่ง่ายๆอีกหนึ่งตอน และเป็นที่รู้จักกันดีเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ ไข่ตุ๋น นั่นเองค่ะ

แม่บ้านยุคดิจิตอลอย่างเราขอใช้ไมโครเวฟเป็นตัวช่วยแทนซึ้งแบบรุ่นคุณแม่นะคะ เพื่อความฉับไวทั้งการทำและการเก็บล้างด้วย ฮั่นแน่... เมนูนี้จึงเหมาะกับการเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าให้สมชื่อกับคำว่ามื้อด่วนจี๋หรือเบรกฟาสท์ (breakfast) เป็นที่สุดค่ะ

ส่วนผสม
ไข่ไก่ออร์แกนิกส์ 1 ฟอง                  
น้ำสะอาด
ซีอิ๊วขาว

วิธีการทำ
1. ตอกไข่ไก่ออร์แกนิกส์และตีด้วยส้อมจนไข่แดงและไข่ขาวรวมกันเป็นเนื้อเดียวในถ้วยเล็ก
2. เติมน้ำประมาณ 1-2 เท่า และเหยาะซีอิ๊วลงไปตามชอบ
3. จัดการตีคลุกเคล้าอีกครั้ง
4. ใช้ฟิล์มพลาสติกปิดปากถ้วยและจิ้มฟิล์มพลาสติกด้วยส้อม 3-4 ที
5. นำส่วนผสมเข้าไมโครเวฟ โดยใช้ไฟขนาดกลางเป็นเวลา 3 นาที

เสิร์ฟ... จะกินเปล่าๆก็อร่อย หรือจะกินคู่กับข้าวสวยหรือข้าวต้มก็ได้ค่ะ

หมายเหตุ: ในวันสบายๆ ที่พอมีเวลาสักหน่อย เราสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารได้โดยการเติมผักซอยหรือเนื้อสัตว์สับก็ได้จ้า

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กิน..ไข่ ใครว่าไม่สำคัญ ตอนที่ 1 (poached egg)

โภชนาการคุณแม่  
"ไข่ ใครว่าไม่สำคัญ" 
กิน..ไข่ Poached Egg 

ขึ้นสัปดาห์ที่ 18 แล้ว มดลูกและเจ้าตัวน้อยก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงไตรมาสที่สองซึ่งนับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 13 ถึงสัปดาห์ที่ 25 อาหารที่เรากินเข้าไปนั้นจะส่งไปถึงลูกน้อยในพุงที่โตขึ้นเรื่อยๆ ไข่แดงที่เค้าเคยพึงพาช่วงแรกก็จะฝ่อไป และหนึ่งในอาหารหน้าเดิมๆที่เราต้องกินทุกวันก็คือไข่ ซึ่งแนะนำให้กิน 1-2 ฟองต่อวันเพื่อรักษาระดับธาตุเหล็กในร่างกาย

 เมื่อต้องกินเจ้าฟองรีๆในแบบเดิมๆ มันก็คงน่าเบื่อใช่มั้ยคะ ตัวช่วยง่ายๆเพื่อเปลี่ยนเรื่องน่าเบื่อให้เป็นจานอาหารอันแสนอร่อยก็คือการปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงไข่ เราสามารถเปลี่ยนเจ้าไข่ดิบให้เป็นได้ทั้งไข่ต้ม ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ตุ๋น ไข่คน..... แต่ฮีโร่ของเราในตอนนี้ก็คือโพชเอ้ก poached egg นั่นเองจ้า

เครื่องปรุง
ไข่ไก่ออร์แกนิกส์ 1 ฟอง
น้ำต้มเดือด 1 หม้อ
เครื่องปรุงรสตามชอบ เช่น พริกไทยดำ ซอสมะเขือเทศ
(ในที่นี้แนะนำให้เลือกไข่ไก่ออร์แกนิกส์หรือที่เลี้ยงแบบธรรมชาติค่ะ เพราะเรามั่นใจได้ว่าไข่ไก่ออร์แกนิกส์นั้นปราศจากซึ่งสารเคมี และความสดอร่อยก็แตกต่างกันจริงๆ)

วิธีการทำ poached egg แบบง่ายๆ
1. เมื่อตั้งน้ำต้มเดือดได้ที่แล้ว ก็เอาที่คนลงไปกวนๆให้เกิดน้ำวน แนะนำว่าถ้าเป็นหม้อกันลึกหน่อยและใส่น้ำให้มากจะส่งเสริมให้น้ำวนมีโมเมนตัมที่ดีกว่านะคะ
2. นำไข่ที่ตอกไว้แล้วเทลงไปในน้ำวนเลยค่ะ ควรตอกไข่ใส่ชามเล็กพักไว้ก่อน ไม่ควรตอกไข่ใส่ลงไปในหม้อโดยตรงนะคะ
3. รอให้ไข่ขาวพันรอบไข่แดง ทิ้งไว้สักพักแล้วตักขึ้นมา

พร้อมเสิร์ฟ.......อร่อยคู่กับขนมปังย่าง ไข่แดงจะเยิ้มอร่อยบนขนมปังร้อนๆ เพิ่มรสชาติให้มากขึ้นด้วยพริกไทยดำและซอสมะเขือเทศค่ะ อีกหนึ่งเมนูง่ายๆภายในห้านาทีเท่านั้น


ป.ล. มีเสียงจากทางบ้านได้แนะนำเคล็ดลับดีๆเพื่อทำให้เจ้าโพชเอ้กดูน่าทานขึ้น อวบขึ้นกว่าเดิมโดยการเติมน้ำส้มสายชูสัก 1 ช้อนโต๊ะลงไปในน้ำเดือด ก่อนนำไข่ไก่สดใส่ลงหม้อนะคะ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ และเมื่อเราลองทำดูแล้วก็ได้ผลลัพธ์เช่นนี้...